ราคาหุ้น TU ทำนิวไฮรอบ 5 เดือนทันที หลังจากที่ประกาศงบไตรมาส 2/63 โตกระฉูดถึง 1,440% และก็ถือว่าทำได้ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้อีกด้วย แต่ในครึ่งปีหลังแนวโน้มนี้จะยังดำเนินต่อไปได้อีกหรือไม่ ? ในเมื่อราคาวัตถุดิบทูน่าเริ่มขยับขึ้น และความต้องการอาหารกระป๋องก็ส่อแววลดลง เพราะความกังวลโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย จากข่าววัคซีนรัสเซีย!
*** ราคาเริ่มเป๋ .. หลังทำนิวไฮรอบ 5 เดือน
ราคาหุ้น บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU วันนี้เริ่มออกอาการ "เป๋" ชัดเจน โดยช่วงเช้าของวันนี้ ขึ้นไปทำจุดสูงสุดช่วงเช้าที่ 14.30 บาท ก่อนที่จะปรับตัวลงมาทำจุดต่ำสุดของวันไปที่ 13.70 บาท
ซึ่งวันทำการก่อนหน้านี้ราคาหุ้น TU เพิ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุด(New High)ในรอบ 5 เดือนไปที่ 14.60 บาท หลังจากการประกาศงบไตรมาส 2/63 ซึ่งมีกำไรสุทธิออกมาสูงถึง 1,716.23 ล้านบาท โต 1,440% จาก ช่วงเดียวกันของปีก่อน(YoY)
ก่อนปิดตลาดช่วงเช้าไปที่ 13.80 บาท ลดลง 0.10 บาท หรือ 0.72% มูลค่าการซื้อขาย 647.81 ล้านบาท
*** กำไรสุทธิดีกว่าคาด สาเหตุเพราะ "ฐานปีก่อนต่ำ"
ทั้งนี้ กำไรสุทธิของ TU ในไตรมาส 2/63 ออกมาเติบโตสูงมาก เป็นเพราะในไตรมาสนี้บริษัทไม่มีการบันทึกค่าใช้จ่ายทางกฎหมายเข้ามา เหมือนไตรมาสเดียวกันปีก่อนที่บันทึกสูงถึง 1,402 ล้านบาท ทำให้ฐานกำไรสุทธิในไตรมาส 2/62 อยู่ที่ 111 ล้านบาทเท่านั้น
ซึ่งหากนับเพียงกำไรปกติแล้วจะอยู่ที่ 1,137 ล้านบาทเท่านั้น (+2.6% QoQ -27.9% YoY) ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ที่เติบโตเพียง 2.6% YoY แม้ได้ประเด็นบวกจากอาหารกระป๋องเติบโตสูง แต่สินค้าอาหารแช่เย็นก็ลดลงมากสวนทางตามไปด้วย นอกจากนี้ยังมีขาดทุนจากบริษัทร่วมถึง 579 ล้านบาท จากการขาดทุนของ Red Lobster ที่ต้องปิดสาขาลงทั้งหมดในช่วงล็อคดาวน์ในสหรัฐฯ
*** ครึ่งปีแรกถือว่าทำได้ดีแต่ ครึ่งปีหลังที่ฐานสูงจะเป็นยังไง?
รูปแบบแรก : ครึ่งหลังชะลอตัว, อัตรากำไรขั้นต้นจะลดลง, ยอดขายอาหารกระป๋องตก
ก่อนที่จะประเมินผลงานในครึ่งปีหลัง ต้องอธิบายก่อนว่าธุรกิจหลักๆของ TU มีอยู่ 3 ส่วนหลักๆ ก็คือ 1.ทูน่ากระป๋อง 2.อาหารแช่แข็งส่งให้กลุ่มร้านอาหารและโรงแรม และ3.ธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้รายได้กลุ่ม อาหารแช่แข็ง และร้านอาหารลดลงอย่างมาก แต่กลับได้ผลดีจากอาหารกระป๋องเติบโตแทน
ซึ่งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)หยวนต้า มองว่า ผลประกอบการของ TU จะชะลอตัวลง HoH เพราะหลังจากการคลายล็อกดาวน์แล้วยอดขายอาหารกระป๋องที่เคยทำได้จะชะลอตัวลงทันที ประกอบกับอัตรากำไรขั้นต้น(GPM)ได้ผ่านจุดที่ดีที่สุดไปแล้วจะกลับมาสู่ระดับปกติที่ 17% ตามราคาทูน่าที่ขยับเพิ่มขึ้น ส่วนธุรกิจอาหาร Red Lobster คาดว่าจะยังขาดทุนต่อ แม้จะกลับมาเปิดสาขาแล้วก็ตาม
ด้วยกำไรปกติครึ่งแรกที่ทำได้ 2,246 ล้านบาท คิดเป็น 60% ของเป้าหมายทั้งปี ที่ 3,715 ล้านบาท หรือครึ่งปีหลังอาจทำได้เพียง 1,469 ล้านบาท จึงอาจมีปรับประมาณการกำไรขึ้นอีกเล็กน้อย และอาจปรับไปใช้ราคาเหมาะสมปี 64 ที่ 14 บาท จากปัจจุบันที่ให้ราคาเหมาะสมที่ 12.50 บาท
รูปแบบที่สอง : โควิด-19 ยังสั่นประสาท หนุนยอดขายอาหารกระป๋องพุ่ง , อัตรากำไรขั้นต้นยังสูง , ปรับกำไรเพิ่ม
บล.เคทีบี มีความเห็นที่แย้งกับประมาณการข้างต้นค่อนข้างมาก โดยมองว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โควิด-19 จะยังคงแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องสหรัฐฯ และยุโรป ให้แนวโน้มความต้องการอาหารกระป๋องสำหรับการกักตัวยังสูง
ซึ่งอาหารกระป๋องเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง ดังนั้นอัตรากำไรขั้นต้นในช่วงที่เหลือของปีจึงน่าจะทำได้ใกล้เคียงกับไตรมาส 2/63 ที่ 17%
ด้วยแนวโน้มครึ่งปีหลังที่ยังเป็นบวกจึงปรับประมาณการกำไรปี 63 ขึ้นมาอยู่ที่ 5.4 พันล้านบาท โต 44% YoY และให้ราคาเหมาะสมปี 63 ไว้ที่ 18 บาท อิง P/E Ratio ที่ 16 เท่า (เทียบเท่า -1SD ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี)
*** หากครึ่งปีหลังจะโตเพราะโควิด-19 อาจต้องจับตาข่าววัคซีนไว้ด้วย
จากข่าวต่างประเทศรายงานว่า รัสเซียได้ประกาศการใช้วัคซีนโควิด-19 ชื่อว่า Sputnik-V ซึ่งถูกพัฒนาโดยสถาบันวิจัยกามาเลยา และจะเริ่มต้นฉีดวัคซีนให้กับประชาชนภายในเดือนตุลาคมนี้ ขณะที่สหรัฐฯเตรียมที่จะแถลงความสำเร็จของการพัฒนาวัคซีนในเร็วๆนี้ ซึ่งหากเป็นความจริงอาจกระทบต่อความต้องการอาหารกระป๋องเพื่อใช้กักตัวได้
อย่างไรก็ตามวัคซีนของรัสเซียใช้เวลาพัฒนาเพียง 2 เดือนเท่านั้น ทำให้หน่วยงานสาธารณสุขทั่วโลกยังคงกังขาในความปลอดภัยของวัคซีนตัวนี้อยู่
*** ส่วนใหญ่มองครึ่งปีหลัง "ยังดีต่อ" จนแนะนำ"ซื้อ"
แม้ผลประกอบการในครึ่งหลังของ TU ยังน่ากังขาอยู่ก็ตาม เพราะด้วยแนวโน้มราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น และความกังวลของโควิด-19 ที่คลี่คลาย ทำให้ผลประกอบการอาจชะลอตัว แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็ยังแนะนำซื้อ และมองว่าแนวโน้มกำไรในช่วงถัดไปจะยังคงดีต่อเนื่องอยู่
บล. |
คำแนะนำ |
ราคาเหมาะสม(บ.) |
ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี |
ซื้อ |
16.10 |
กสิกรไทย |
Outperform |
15.30 |
ทิสโก้ |
ถือ |
14.50 |
ยูโอบี เคย์เฮียน |
ซื้อ |
17.50 |
หยวนต้า |
ซื้อเก็งกำไร |
12.50 |
หากนักลงทุนสนใจหุ้น TU เพราะว่าราคายังไม่ได้ปรับขึ้นไปแรงเหมือนกับหุ้นตัวอื่นๆ อาจต้องรับความเสี่ยงให้ได้ด้วย เนื่องจากผลประกอบการอาจไม่เป็นอย่างที่คาดไว้ เพราะในครึ่งหลังของปีนี้ยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก โดยเฉพาะการที่นักวิเคราะห์ประเมินยอดขายและอัตรากำไรด้วยการ พึ่งพาอานิสงส์จากสถานการณ์โควิด-19 ในการเร่งยอดขายอาหารกระป๋องมากเกินไปเช่นนี้
0 Response to "TU เริ่มเป๋... ครึ่งแรกสุดอลัง ครึ่งหลังยังไม่น่าไว้ใจ? - efinanceThai"
Post a Comment