วันนี้ (14 ส.ค. 63) นายวิชา มหาคุณ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการสั่งไม่ฟ้องคดีนายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่ เพื่อที่จะตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิด และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีในนายวรยุทธ ว่าในวันนี้มีผู้เข้าให้ข้อมูล 2 คน คือ นายอรรถพล ใหญ่สว่าง ประธานคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) และอดีตอัยการสูงสุด กับนายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด
โดยนายอรรถพล ชี้แจงยืนยันในความคิดเห็นและข้อสังเกตให้กับทางอัยการสูงสุดไปแล้ว ซึ่งจุดที่สำคัญที่เกี่ยวกับคดีนี้ นายอรรถพล ไม่เห็นด้วยกับการที่นายเนตร ได้หยิบยกเรื่องร้องขอความเป็นธรรมขึ้นพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งที่ ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร ซึ่งขณะดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดเคยสั่งยุติเรื่องไปแล้ว และให้ฟ้องคดีไปตามคำสั่งฟ้องของอธิบดีอัยการ ศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยนายอรรถพลมองว่าจะหยิบมาอีกไม่ได้ เว้นแต่ต้องรายงานให้อัยการสูงสุดคนปัจจุบันรับทราบด้วย ว่าได้สั่งการหรือดำเนินการไปประการใดประการหนึ่งประการใด แต่ถ้าสั่งไปแล้วโดยที่ไม่พิจารณาโดยรอบคอบถือว่าเป็นการสั่งฟ้องคดีโดยไม่ชอบ ซึ่งเรื่องการออกคำสั่งของนายเนตรเกี่ยวกับคดีนี้ นายอรรถพล แจ้งว่าให้ติดตามวันที่ 18 ส.ค.63 จะเป็นวันประชุม ก.อ. ครั้งสำคัญ
นายวิชา เผยอีกว่า นายอรรถพลยังได้ให้ข้อมูลด้วยว่า ได้พูดถึงประเด็นนี้กับอัยการสูงสุดแล้วว่าจะเห็นประการใด ในเรื่องที่เห็นว่าคำสั่งออกมาโดยไม่ชอบ ซึ่งอัยการสูงสุดนิ่งเฉยไม่ตอบอะไร แต่นายอรรถพลอยากให้แต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบเรื่องนี้ว่าชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยให้เป็นคณะทำงานของ ก.อ. แต่อัยการสูงสุดได้สั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเอง ซึ่งการกระทำเช่นนี้อาจจะเกิดความยุ่งยากอย่างมากว่าจะตั้งได้หรือไม่ และหากพิจารณาแล้ว ก.อ. สั่งประการใดและเกิดความขัดแย้งกันจะเป็นเรื่องหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ความเห็นของนายอรรถพลตรงกับความเห็นของ ศ.คณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุดว่า ไม่มีกฎหมายระบุ ไว้โดยตรงเกี่ยวกับการร้องขอความเป็นธรรม โดยผู้ที่ได้รับมอบอำนาจระดับรองอัยการสูงสุดได้รับมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ สิ่งที่น่าสนใจคือนายเนตร นาคสุข ขณะปฏิบัติหน้าที่ ก็ไม่ได้เป็นรองอัยการสูงสุดโดยสมบูรณ์ หรือจะเรียกว่ายังไม่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่ได้สั่งการไปในฐานะของอธิบดีอัยการศาลสูง รักษาราชการในตำแหน่งรองอัยการสูงสุด และปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด จึงเกิดประเด็นปัญหาที่น่าคิดและเป็นข้อกฎหมายที่ต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะทำงานชุดนี้ด้วย โดยจะเชิญนายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อสส. มาชี้แจงให้ถ้อยคำในสัปดาห์หน้า
นายวิชา กล่าวด้วยว่า ในส่วนของนายเนตร นาคสุข ให้ข้อมูลกับที่ประชุมว่า ไม่ได้ดูสำนวนและตรวจสอบตั้งแต่ต้น ดูแค่กรณีที่มีทนายความร้องขอความเป็นธรรม ร่วมกับที่สำนักคดีกิจการอัยการ ตั้งเรื่องเสนอขึ้นมาว่า เห็นสมควรที่จะสั่งสอบเพิ่มเติม โดยนายเนตรได้เห็นและดูสำนวนเมื่อตำรวจสอบสวนเพิ่มเติมส่งสำนวนมา โดยนายเนตรยืนยันว่า สั่งไม่ฟ้องโดยถูกต้อง และไม่เห็นด้วยกับข้อสังเกตของนายอรรถพล โดยยืนยันว่าทำถูกต้องทุกอย่าง เพราะสั่งโดยมีอำนาจและสั่งเช่นนี้ตลอดเวลาทุกคดี ซึ่งในกรณีที่หยิบยกเรื่องขอความเป็นธรรม สามารถทำได้ตลอด ไม่ถือว่าคำสั่งนี้เป็นการลบล้างคำสั่งของอัยการสูงสุด เพราะเป็นการสั่งเฉพาะเรื่องร้องขอความเป็นธรรมเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับเรื่องสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งเป็นการสั่งในสำนวน เพราะฉะนั้นจึงมีอำนาจเต็มบริบูรณ์ และยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องรายงานต่ออัยการสูงสุด เพราะถือว่าตนเองมีอำนาจแล้ว
นายวิชา กล่าวว่า เกี่ยวกับเรื่องการใช้ดุลยพินิจในการออกคำสั่งของนายเนตร ทาง ก.อ. จะต้องพิจารณาต่อไป และที่นายเนตร ตัดสินใจลาออก เจ้าตัวบอกว่าเป็นการตัดสินใจด้วยตัวเอง เพราะจะเป็นผลดีต่อองค์กร ให้หมดความยุ่งยากไป โดยให้เหตุผลว่าไม่อยากเป็นตัวถ่วงและทำให้กลับมาใช้ชีวิตปกติ แต่การลาออกจะมีผลก็ต่อเมื่ออัยการสูงสุดสั่งอนุญาตหรืออนุมัติการลาออก ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้สั่งอนุมัติการลาออก และถือว่านายเนตร ยังคงเป็นรองอัยการสูงสุดอยู่ ส่วนอัยการสูงสุดจะสั่งเมื่อใดก็ให้ไปติดตามเอาเอง
ส่วนกรณีคณะทำงานตรวจสอบบุคคลทั่วไป ที่มีนายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานคณะทำงานเรื่องนี้ ก็ได้ความคืบหน้านี้ของผู้เชี่ยวชาญเรื่องความเร็วของรถ เรื่องโคเคน โดยได้รับความรู้เพิ่มขึ้นมากมาย และจะนำมาประกอบการพิจารณาว่า การทำสำเนาบกพร่องจริงหรือไม่ โดยได้รับสำนวนของทางตำรวจเรียบร้อยแล้ว และทางตำรวจก็มีความคืบหน้าตลอดเวลา เพราะได้รายงานกับคณะทำงานว่า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็กำลังพิจารณาอยู่ว่าจะดำเนินการในเรื่องการใช้อำนาจตาม ป.วิอาญา มาตรา 147 หรือไม่อย่างไร หรือจะถือว่ากระบวนการนั้นเป็นกระบวนการที่ไม่ชอบก็เป็นเรื่องที่ ผบ.ตร.จะพิจารณาโดยละเอียด ในฐานะที่กำกับดูแลด้านกฎหมายด้วยตัวเอง ซึ่งทั้งหมดถือว่าคืบหน้าไปพอสมควร
สำหรับคณะทำงานชุดตรวจสอบตำรวจ ในวันจันทร์ที่ 17 ส.ค.63 จะเรียกสอบชุดของ พล.ต.ท.เพิ่มพูน ชิดชอบ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ทั้งชุด รวมถึง พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น ซึ่งคนนี้ถือเป็นพยานคนสำคัญ ที่เราต้องกังวลและดูแลอย่างดีทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องความปลอดภัย และควรจะได้รับความคุ้มครองในฐานะพยานจนไปถึงชั้นศาล โดยความคืบหน้าของคณะกรรมการดำเนินการไปได้ด้วยดี ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็พอใจ และต้องนำคดีไปถึงศาลให้ได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายของเรา คดีจะต้องไม่ยุติอยู่แค่นี้ เพราะจะต้องไปให้ถึงศาลให้ประจักษ์แก่ประชาชนทั่วไปว่าความยุติธรรมยังคงอยู่
นายวิชา ย้ำว่า การทำงานของอัยการนั้น เห็นแล้วว่ามีช่องโหว่เยอะ และได้ถามถึงระเบียบที่ออกมาว่าเป็นอย่างไร โดยนายอรรถพล ก็ยอมรับว่าระเบียบมีช่องโหว่และจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไข ซึ่งจะอยู่ในกระบวนการตรวจสอบข้อกฎหมายและต้องนำเสนอด้วยว่า จะต้องให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรจะเข้าไปอยู่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาอาญาหรือไม่ หรือจะออกเป็นกฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่าระเบียบจะใช้บังคับอย่างไร ระยะเวลาเท่าไหร่ ซึ่งไม่มีทั้งนั้นโดยสามารถขอความเป็นธรรมเป็นร้อยครั้งก็ได้ และเมื่อขึ้นไปถึงศาลจะขอให้อัยการถอนฟ้องก็ยังได้ ส่วนแนวโน้มการขึ้นไปถึงศาลและแนวโน้มว่าใครจะเป็นผู้ต้องหาหมายความว่าเรื่องคดีของบอส แต่ใครจะผิดใครถูก บกพร่องในกระบวนการก็ต้องว่ากันอีกขั้นตอนหนึ่ง จะเอาเรื่องใครผิดใครถูกก็ต้องละเอียดรอบคอบพอสมควร
นายวิชา กล่าวด้วยว่า กระบวนการตรวจสอบก็ต้องดูว่าบุคคลเหล่านั้นทำผิดเพราะอะไร เพราะความผิดพลาดของมนุษย์โดยไม่ได้ตั้งใจ หรือว่าตั้งใจ หรือว่ามีอะไรกดดัน หรือว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังในกระบวนการ ก็ต้องดูโดยละเอียด อย่างน้อยที่ตั้งกันไว้ว่าให้ถือว่าเป็นหลักฐานใหม่มีการตั้งธงไว้แล้วทั้ง 2 องค์กร ส่วนกรณีเพิกถอนคำสั่งไม่ฟ้องเดิม ต้องมีความกล้าหาญอย่างยิ่ง ตำรวจและอัยการต้องรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวง ซึ่งตำรวจกับอัยการไม่เหมือนศาล ที่มีประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 เขียนไว้ชัดเจนว่า ถ้าหากว่าทำอะไรไปผิดผู้พิพากษาสามารถเพิกถอนได้ตลอดเวลา ซึ่งตนเองก็เคยทำ สั่งผิดแล้ววันรุ่งขึ้นก็สั่งใหม่ ซึ่งไม่ถือว่าเป็นความผิด เพราะถือว่าคนที่มีความกล้าหาญแก้ไขจากผิดเป็นถูก เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในโลก
ส่วนกรณีคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ ค้นพบว่ามีนายตำรวจใหญ่คนหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องนั้น นายวิชากล่าวว่า ก็อยู่ในกระบวนการตรวจสอบของคณะทำงาน ขอเปิดเผยว่า พอเห็นหลักฐานใหม่ แต่ยังต้องพิจารณาให้รอบคอบว่า หลักฐานใหม่นี้จะใหม่จริงหรือไม่ โดยมีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาไว้พิจารณาอยู่ เราต้องตรวจสอบทั้งหมด ต้องทำงานแบบการบูรณาการร่วมกัน ขณะเดียวกันศาลฎีกาก็เคยมีคำพิพากษาว่า การใช้ดุลพินิจที่ไม่ชอบจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งมีการเผยแพร่ให้ดูอย่างแพร่หลายในโซเชียลมีเดียแล้ว
"ไปได้ด้วยดี" - Google News
August 14, 2020 at 07:11PM
https://ift.tt/3iCEuy7
"วิชา" จ่อเรียก "วงศ์สกุล" เข้าชี้แจง ระบุ "ธนสิทธิ์"พยานสำคัญ ต้องคุ้มครองให้ถึ - ช่อง 7
"ไปได้ด้วยดี" - Google News
https://ift.tt/2U2qx2u
Bagikan Berita Ini
0 Response to ""วิชา" จ่อเรียก "วงศ์สกุล" เข้าชี้แจง ระบุ "ธนสิทธิ์"พยานสำคัญ ต้องคุ้มครองให้ถึ - ช่อง 7"
Post a Comment